Thursday, August 26, 2010

The Real User ขับมาแล้ว เลยอยากให้รู้ Civic 2.0 ; By: Thunyaluk Seniwongs

รถยนต์คันที่จะพูดถึงในวันนี้คือ Honda Civic เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว i-Vtec ใช้มาแล้ว 4 ปี ออกรถมาเมื่อต้นปี 2006 วิ่งไปแล้ว 80,000 กว่ากิโลเมตร รถรุ่นนี้เป็นรถที่คนนิยมนำชุดแต่งตัวถังมาแต่งกันมากที่สุดรุ่นหนึ่ง ตั้งแต่ออกมาใหม่จนถึงปัจจุบันนี้

ก่อนที่จะได้พูดคุยกับผู้ใช้รถตัวจริง ฉันก็ได้พูดคุยกับผู้เป็นยิ่งกว่าเจ้าของรถ เพราะเป็น ผบ. ของเจ้าของรถ ก็คือคุณอึ่ง



คุณอึ่งเล่าว่า รถคันแรกที่ใช้ก็คือ Honda Civic 3 ประตู ส่วนคุณแฟนใช้ City Type Z แต่ตอนนี้คุณอึ่งใช้ City Type Z แทน เพราะได้ นำเจ้า Civic 3 ประตูที่ใช้มา 12 ปี ไปเปลี่ยนเป็น Civic 2.0 แทน



ก่อนซื้อก็ได้ไปลองขับรถกันก่อน โดยไปที่ฮอนด้าลาดพร้าว แต่ต้องจองและต้องรอ ก็เลยเปลี่ยนใจและได้ไปที่ ฮอนด้าบางเขนแทน และที่ฮอนด้าบางเขนออกรถได้เลย ก็เลยซื้อที่นั่น ราคาในตอนนั้น 1,020,000 บาท



สิ่งที่ได้มาก็คือสปอยเลอร์หลัง และกันสาดรอบประตูทุกบาน และส่วนลดพอประมาณ



ส่วนสีรถทีเลือกสีบรอนซ์เงิน ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพราะฝุ่นเกาะก็มองไม่ค่อยเห็น ดูแลง่าย ก่อนนั้นเคยมีรถสีน้ำเงินต้องล้างรถบ่อยๆ เพราะฝุ่นเกาะง่าย

ตอนนี้เราก็มาคุยกับเจ้าของรถตัวจริงนะคะ ก็คือ คุณวรัตถ์ กวินก่อสกุล ซึ่งอยู่วงการประกันภัย



คุณวรัตถ์เล่าให้ฟังว่า รถคันนี้เป็นรถเกียร์อัตโนมัติ กำลังเครื่องยนต์ 155 แรงม้า มีถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า

คอนโซลหน้ากว้างมาก ซึ่งก็น่าจะเป็นการดีไซน์เพื่อความสวยงาม แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อทัศนวิสัยในการขับรถ



แต่จุดที่มีปัญหาบ้างเล็กน้อยก็คือเสาข้างด้านคนขับที่อยู่ระหว่างกระจกบานใหญ่ด้านหน้ากับกระจกมองข้าง เสาจะค่อนข้างใหญ่ บางทีขับไปคุยกับคนที่อยู่ในรถเกือบมองไม่เห็นคนที่จะข้ามถนน แต่ถ้ามีสมาธิก็ไม่มีปัญหาอะไร



พอรู้แล้วก็ทำให้ระวังในจุดนี้

กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า พับเก็บได้ พร้อมไฟเลี้ยวในตัว

มีcruise control ปรับที่พวงมาลัย แต่คุณวรัตถ์บอกว่าไม่เคยใช้ ใช้เฉพาะปุ่มควบคุมเครื่องเสียงเปลี่ยนโหมดเพลงหรือสถานีวิทยุ และปรับเสียงให้ดังและเบาแค่นั้นเอง พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ทำให้รถดูสปอร์ตขึ้น



ที่นั่งปรับสูงต่ำได้ด้วยคันโยกโดยใช้มือ อยู่ข้างที่นั่ง

รถคันนี้ รับประกันการใช้งาน 3 ปี หรือ 100,000 กม. แบตเตอรี่รับประกัน 1 ปี หรือ 50,000 กม.



เข้าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กม. ค่าใช้จ่ายในการเข้าศูนย์ จะมีคูปองฟรีค่าแรงให้ 3 ใบ ในครั้งแรก หลังจากนั้นก็เปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามระยะที่กำหนดในคู่มือ เข้าศูนย์ก็จ่ายครั้งละ 2-3,000 บาทอยู่ที่ว่าจะต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง ถ้ามีการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ราคาก็จะสูงขึ้นมาเล็กน้อย ก็คือดูแลรถตามระยะที่กำหนดในคู่มือรถ โดยเข้าศูนย์บริการตลอด

เปลี่ยนยางชุดแรกเมื่อปี 2009 ใช้ยางบริดจสโตน ขนาด 205/55 R 16 คือใช้ขนาดเดิมที่ติดมากับตัวรถ



ระบบเบรกดี มี ABS และมีระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ BA ทำให้มั่นใจในการเบรก

คุณวรัตถ์จะขับรถออกต่างจังหวัดเดือนละ 1-2 ครั้ง เพราะเป็นครอบครัวที่รักการท่องเที่ยวไปไหนไปกัน และจะมีเพื่อนฝูงติดรถ



ไปด้วยบ่อยๆ คราวนี้ก็เช่นกัน รูปที่ถ่ายมาจะเห็นเบาะหลังมีของวางเต็มไปหมด ไม่ได้จัดเพื่อการถ่ายรูป และที่เก็บสัมภาระหลังก็เช่นกันบรรทุกได้เยอะทีเดียว

เนื่องจากผู้ขับรถสูงประมาณ 185 ซม. ยังมีช่องว่างบนเพดานรถพอสมควร ถ้าไม่มีผูโดยสารด้านคนขับก็จะเลื่อนเบาะไปเกือบสุด



แต่ถ้ามีผู้โดยสาร ก็จะเลื่อนไปไม่มาก ซึ่งผู้ขับบอกว่าก็ไม่ได้อึดอัดอะไร ส่วนผู้โดยสาร ที่นั่งด้านคนขับก็ต้องตัวเล็กหน่อย ที่นั่งด้านหลังก็กว้างนั่งกันได้สบายๆ

การขับขี่ ช่วงล่างเกาะถนนดี ไม่ได้ตกแต่งอะไรเลยทุกอย่างเดิมๆทั้งหมด



กุญแจเป็น Emobilizer



การกินน้ำมัน ใช้ เบนซิน 91 มาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนเป็น แก๊สโซฮอลล์ 91 เมื่อไม่นานมานี้เอง ใช้แล้วก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง การกินน้ำมัน หากวิ่งในเมืองจะต่ำกว่า 10 กม./ลิตร แต่



ถ้าวิ่งนอกเมือง จะอยู่ที่ 12-15 กม. / ลิตร อยู่ที่ความเร็วที่ใช้ ซึ่งจะใช้ความเร็วอยู่ที่ 120-140 กม./ชม. ยังไม่เคยลองความเร็วสูงสุด อัตราเร่งแซงดีก็พอใจแล้ว

ตอนนี้รถก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาจุกจิกอะไรเลย หมดระยะรับประกันแล้วถ้าถึงเวลาเช็คตามระยะก็ยังเข้าศูนย์บริการเช่นเดิม

ทุกอย่างของรถยังเฟิร์มอยู่ค่ะ เหมือนเจ้าของรถทั้งคู่เลย (เป็นความเห็นผู้เขียนค่ะ)



นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเห็นจากผู้ใช้รถค่ะ



---------------------------------------------



ขอขอบคุณ คุณวรัตถ์ กวินก่อสกุล และคุณอึ่ง



ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

No comments:

Post a Comment