Thursday, August 26, 2010

Test Drive Mitsubishi Lancer EX Once again By:Thunyaluk Seniwongs

ทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทมิตซูบิชิมอเตอร์ประเทศไทย ได้จัดรถไปให้คุณธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ได้ลองขับรถมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์คันนี้ โดยมีคุณกุ้งซึ่งอยู่ฝ่ายการตลาดของมิตซู นำรถไปส่งมอบให้ เพราะบ้านอยู่ใกล้กันที่สุด

คุณกุ้งเล่าว่าขับรถมาทางด้านคลองหลวงและผ่านมาทางถนนวงแหวนต้องผ่านด่านเก็บเงิน คนที่ด่านชมว่า “สวยจังเลย” ฉันก็ถามไปว่า”เขาชมคุณกุ้งหรือคะ” คุณกุ้งตอบว่า “ไม่ใช่ค่ะ เขาชมรถ” เราก็เลยหัวเราะชอบใจกัน

แล้วฉันก็ได้สัมผัสรถคันนี้ ครั้งแรกที่ได้สัมผัสช่างละมุนละไมอะไรเช่นนี้ เมื่อได้จับพวงมาลัยของรถ ก็เหมือนผิวเนียนๆของผู้หญิงนั่นละคะ คุณผู้ชายอาจจะสงสัยว่าแล้วผู้ชายผิวไม่เนียนหรือไง นั่นนะซีนะ เมื่อนั่งประจำที่คนขับ ก็ปรับเก้าอี้ให้สูงขึ้นด้วยการใช้มือโยกตรงด้านข้างของเก้าอี้ เพื่อให้นั่งในระดับที่รู้สึกว่าสบายและคล่องตัวในการขับรถ เลื่อนเก้าอี้ให้ใกล้หรือไกลก็เป็นแบบ manual มือเหมือนกัน

ข้อมูลนี้อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=469 และhttp://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=426

Mitsubishi Lancer EX คันนี้ เป็นรุ่น เครื่องยนต์ 1.8 Gls เบาะหนังเท่าที่ดูจากสเปคเบาะหนังจะเป็นรุ่น Ltd ถ้า Gls ธรรมดาจะเป็นเบาะผ้า เครื่องยนต์ ขนาด 1.8 ลิตร 139 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที

แรงบิด 172 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที เกียร์ cvt 6 สปีด พร้อม sport mode เปลี่ยนเกียร์แบบmanual ได้

เมื่อได้ขึ้นขับครั้งแรกขับออกจากซอยต้องหยุดรถก็เหยียบเบรกโดยความพลั้งเผลอแรงไปหน่อย เบรกหยุดกึกทันใจ คราวต่อไปเลยต้องเหยียบให้เบาหน่อย อย่างที่เคยพูดไว้แล้วว่ารถสมัยนี้ เบรกได้ดั่งใจ

รถ คันนี้เป็นรถแบบ Flexible Fuel Vehicle หรือ FFV คือรองรับน้ำมันได้ตั้งแต่เบนซินธรรมดา แก๊สโซฮอลล์ E 10 ,E 20 จนถึง E 85

ได้ขับรถคันนี้ในกรุงเทพฯอยู่สองสามวัน ขับครั้งแรกเมื่อเหยียบคันเร่งลงไปแบบค่อยๆเหยียบจะรู้สึกเหมือนมีช่องว่างระหว่างคันเร่งไม่ปรู๊ดปร๊าดทันที แต่เมื่อได้มีโอกาสขับไปต่างจังหวัดที่ถนนโล่งๆพอที่จะทำความเร็วได้ ก็พบว่า ถ้าเราออกตัวแล้วเหยียบเต็มที่ ความเร็วและความแรงจะมาอย่างต่อเนื่องเลยล่ะ

ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปที่ บ้านซับเศรษฐีที่เขาใหญ่ เพราะลืมของไว้ที่นั่นออกเดินทางก็บ่ายวันศุกร์ และได้แวะกินข้าวกันที่ร้านข้าวแกงบ้านสวน เจ้าแรก ร้านนี้ไม่ใหญ่เหมือนสาขาสอง แต่ฉันว่าข้าวแกงร้านแรกอร่อยกว่านะ

มีเรื่องจะเล่าให้ฟังก็คือว่า เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วกลับมาที่รถ มองไปที่พื้นรถที่เป็นพื้นดิน ก็ตกใจว่าน้ำเจิ่งเต็มพื้นไปหมดทั้งที่ตอนจอดครั้งแรกไม่มี ฉันก็ก้มๆเงยๆจะดูใต้ท้องรถ คุณธเนศร์กลับจากเข้าห้องน้ำมาก็ถามว่า “มีอะไรหรือ” ฉันก็ตอบว่าไมรู้น้ำไหลมาจากไหน ซักพักคุณธเนศร์บอกว่า “นั่นไง น้ำไหลมาจากบนหลังคา” ไหลมาลงตรงด้านข้างรถพอดี ค่อยโล่งอกไปที นึกว่าจะเจอปัญหาซะอีก

แล้วเราก็ออกเดินทางไปเติมน้ำมัน แก๊สโซฮอลล์ E 20 ที่ใกล้ๆกับสถาบันวิจัยของ ปตท. ทั้งๆที่อยากจะเติม E 85 แต่ถนนสายนี้ไม่มีให้เติมค่ะ คงต้องรอไปก่อน เท่าที่ทราบ ปั๊มที่มี E85 ของ ปตท ในกรุงเทพฯ มีอยู่สองแห่ง เติมน้ำมันเต็มถังแล้วก็ออกเดินทางกันต่อเลย

อัตราเร่งแซงของรถคันนี้ดีมากเลย กำลังของรถจะมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่เราเหยียบคันเร่งลงไป ทำให้เกิดความมันในอารมณ์ในการขับรถคันนี้

ก็ไม่ทราบว่าทำไมขับรถคันนี้แล้วถึงได้เจอพวกที่ชอบประลองความเร็ว ก็ลองเล่นๆกันซักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร พอทิ้งเขาห่างก็พอใจแล้ว กลับมาใช้ความเร็วในระดับปกติ

แวะไปเอาของที่ลืมไว้ที่บ้าน เสร็จแล้วก็แวะไปงานศพคุณแม่ของน้องที่ดูแลบ้านให้ที่บ้านซับพลู กว่าจะกลับก็มืดค่ำ ก็เลยได้ลองขับรถในบรรยากาศกลางคืน

ไฟส่องสว่างดีมาก เห็นถนนชัดเจนเลยไม่ว่าจะเป็นไฟใหญ่หรือไฟสูง

หน้าปัดของรถคันนี้เป็นจอเรืองแสงแบบ LED ตอนกลางคืนเมื่อเปิดไฟก็ดูสวยทีเดียว

หน้าเหมือนแมวเลยนะเนี่ย หรือนี่เป็นแมวนางกวัก ใครได้ลองนั่งลองขับแล้วอาจจะตัดสินใจซื้อเลย

ฉันเป็นคนไม่ชอบขับรถตอนกลางคืน เพราะมีความรู้สึกอึดอัดกับความมืดรอบข้าง แต่คุณธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยาที่นั่งไปด้วยกันบอกว่า ชอบขับรถตอนกลางคืนเพราะขับง่ายกว่าตอนกลางวัน

อย่างเช่นทางโค้งคดเคี้ยว ตอนกลางวันเราจะแซงค่อนข้างยาก แต่ตอนกลางคืนมองได้จากแสงไฟของรถ ก็จริงๆด้วย และตอนกลางคืนเท่าที่สังเกตดูจากรถรอบข้าง การขับรถจะช้ากว่าการขับตอนกลางวัน ตัวฉันเองก็เป็นอย่างนั้น

เมื่อได้มาขับช่วงเส้นทาง 2235 ที่จะไปบ้านซับเศรษฐี ซึ่งมีทางโค้งหลายโค้ง รถก็เกาะโค้งได้ดีจริงๆด้วยช่วงล่างแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง และช่วงล่างหลังแบบมัลติลิงค์พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ช่วงล่างไม่แข็งหรือนุ่มนวลจนเกินไปกำลังดีทีเดียว และหนึบหนับดีจัง เกาะถนนดีมากให้ความรู้สึกที่มั่นใจ

Mitsubishi Lancer EX คันนี้อย่างที่บอกไว้ว่าเป็นเกียร์ cvt 6 สปีด พร้อม sport mode เปลี่ยนเกียร์ เป็นแบบ manual ได้ แต่อยากจะบอกว่าตัวฉันเองเวลาขับรถไม่ค่อยจะสนใจตัว sport mode จะปล่อยให้เกียร์ทำงานไปโดยอัตโนมัติ อย่างเวลาเร่งแซงถ้าเรารู้ว่าจะต้องแซงเราก็ต้องเตรียมตัวก่อนอยู่แล้วก็เหยียบคันเร่งเข้าไป ก็ไปได้แล้ว แต่ถ้ามัวห่วงทั้งเรื่องการเปลี่ยนเกียร์ช่วย ถ้าไม่ใช่รถที่คุ้นเคยก็ต้องมองหน้าจออีกว่าอยู่ที่เกียร์ไหน ตัวฉันไม่มีสมาธิพอขอยอมรับ

เกียร์ cvt ให้กำลังมาอย่างต่อเนื่อง อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าถ้าเหยียบในครั้งแรกรู้สึกเหมือนไม่มีกำลัง ทั้งที่กำลังของรถรออยู่ แต่ถ้ากดคันเร่งไปเต็มที่จะรู้สึกว่าความแรงมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเคยขับเกียรออโตแมติค แบบธรรมดามาจะรู้สึกถึงความแตกต่างในการขับครั้งแรก แต่ซักพักก็จะคุ้นเคย

คุณธเนศร์บอกว่าให้ลองเหยียบไปที่ ความเร็ว 2,000 รอบแล้วให้เหยียบนิ่งไว้ จะเห็นว่าความเร็วจะขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องขอบอกว่าเท้าไม่นิ่งพอ ก็เลยไม่ได้ทำ ถ้าเป็นคุณธเนศร์จะทำได้ เพราะเคยเห็นคุณธเนศร์สามารถรักษาความเร็วในแต่ละรอบได้นิ่งๆ และเป็นเวลานานทั้งในรอบต่ำๆและรอยสูง โดยไม่ต้องใช้ cruise control

เก้าอี้ที่นั่งก็โอบกระชับตัวดี นั่งสบาย แต่ท่านที่จะเอี้ยวตัวไปหยิบของที่เบาะหลังคงต้องระวังหน่อยนะคะเพราะเบาะที่โอบกระชับผู้นั่งอาจจะทำให้ท่านไหล่เคล็ดได้ จริงๆแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมายก็แค่เตือนไว้แค่นั้นเอง เพราะเวลาเอี้ยวตัวไหล่จะไปเบียดกับส่วนนูนของเบาะ พบกับตัวเองเลยมาเล่าสู่กันฟัง แต่ถ้าปรับเบาะนั่งให้เอนลงไปก็โอเคไม่มีปัญหาอะไร

ได้มีโอกาสอยู่กับรถคันนี้หลายวันทีเดียว หลังจากกลับจากเขาใหญ่ วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปพัทยา ดูซีคะ ชีพจรลงเท้าแค่ไหน ยังสงสัยกับคำว่าชีพจรลงเท้าจัง แต่ช่างมันเถอะนะ

คราวก่อนเคยบอกว่าการเดินทางจากมอเตอร์เวย์ไปพัทยาถนนวิ่งได้สะดวก แต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วสักเดือนที่ผ่านมา คือถ้าจากกรุงเทพฯ ผ่านด่านพานทองไปซักพัก ก็จะเจอทางแยกไปพัทยา เมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าไป หรือ ถ้ามาจากพัทยา ก็จากพัทยา เลี้ยวซ้ายเข้าถนนก่อนจะบรรจบเข้ามอเตอร์เวย์ ตอนนี้วิ่งค่อนข้าง ลำบาก เพราะถนนที่ทำใหม่มี 4 เลน ตอนนี้ทั้งรถบรรทุกและรถบัสจะวิ่ง 2 เลน บางทีก็วิ่งมากินเลนที่3 ด้วยทั้งที่ควรวิ่งเลนซ้ายเลนเดียว ทำให้รถยนต์ส่วนตัววิ่งและแซงกันค่อนข้างลำบาก เพราะทุกคันพยายามมาวิ่งเลนขวากันหมด

ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สังเกตุหรอก อันนี้ก็เกิดจากความช่างสังเกตของคุณธเนศร์ค่ะอีกแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ตำรวจต้องไปทำงานอย่างอื่น คนขับรถก็เลยขับกันตามสบายอยากทำอะไรก็ทำ

ทีนี้มาพูดถึงรถคันนี้ต่อดีกว่า ก่อนจะเดินทางไปพัทยา เราก็แวะเติมน้ำมันกันก่อน เดินทางไปเติมน้ำมัน E 85 ว่าจะไปเติมที่ปั๊ม ของ ปตท. แต่ผ่านถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา ก็เลยไปเติม E 85 ที่ปั๊มของบางจาก แล้วก็ออกเดินทางไปพัทยา

จากเดิมที่ใช้ E 20 แล้วมาเติม E 85 ขับไปไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยค่ะ อัตราเร่งต่างๆก็ยังดีเหมือนเดิมไม่ได้ตกลงเลย ราคาน้ำมันก็ถูกลงด้วย แต่ก็หาที่เติมยากเพราะสถานีบริการยังมีน้อย ต่างจังหวัดนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มีแค่ E 20 ก็ดีแล้ว

อัตราเฉลี่ยการใช้น้ำมัน อยู่ที่ 14.15 กม./ลิตร ความเร็วที่ใช้อยู่ที่ 120 140 160 และสามารถไปได้จนถึง 180 โดยไม่รู้ตัว

ภายในห้องโดยสารกว้างขวางทีเดียวไม่ว่าจะเป็นช่วงด้านหน้าหรือด้านหลัง เหลือที่เยอะเลย

วัสดุที่ตกแต่งภายในสีสันก็ดูเรียบๆดี แผงที่หน้าปัดทั้งแผงเป็นสีออกเทาๆเงาๆมีลวดลายอยู่ในตัว ก็ดูสวยดี แต่เห็นบางท่านไปเคาะดูแล้วบอกว่ามันกรอบแกรบ ฉันนี่งงมากๆเลย เราต้องเคาะกันขนาดนั้นเลยหรือเพื่อที่จะจับผิดรถกัน

ที่เก็บของท้ายรถกว้างขวางทีเดียว แต่เมื่อจอดรถในที่ค่อนข้างแคบ ถ้าคุณจะพับกระจกต้องใช้มือพับเพราะไม่มีระบบเปิดปิดกระจกอัตโนมัติ ตัวฉันก็คลำหาอยู่พักใหญ่ทีเดียว

ที่นั่งหลังนั้น เมื่อผู้ขับข้างหน้าเลื่อนที่นั่งจนพนักพิงมาอยู่ระดับเสากลางรถแล้ว ก็ยังมีพื้นที่เหลือสำหรับวางขาอีกมาก ทั้งที่คุณจะวางตัวลงบนเบาะนั่งได้เต็มตัว

คือพูดง่ายง่ายว่า ที่นั่งตอนหน้าและตอนหลังของรถคันนี้ ให้พื้นที่ไว้มากกว่ารถอื่นที่อยู่ในขนาดเดียวกันเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ แต่อาจจะดีกว่ารถใหญ่กว่าบางรุ่นเสียอีก

รถคันนี้ก็เป็นรถที่น่าใช้คันหนึ่งในรถเครื่องยนต์ขนาดเดียวกัน

รูปลักษณ์ภายนอกก็สวยใช้ได้ทีเดียวและเป็นรถที่แต่งขึ้นด้วย ผู้หญิงใช้ก็ดูเป็นสาวเปรี้ยวหน่อย

ส่วนผู้ชายไม่ต้องพูดถึงเพราะเหมาะอยู่แล้วยิ่งถ้าคุณชอบ Evo อยู่แล้วก็ยิ่งตัดสินใจง่ายขึ้น

---------------------------------------

No comments:

Post a Comment